ทักษะพื้นฐานในการคิดคํานวณ
1. การจัดหมู การรวมหมู การแยกหมูเด็กรูจักจําแนกหรือแยกสิ่งของหรือรวมหมูสิ่งของที่
เหมือนกัน ของที่เปนพวกเดียวกัน ของใชดวยกัน หรืออาจจะใหเด็กเลือกของออกมาแลวใหเด็กบอกวาของนั้น “เหมือนกัน” “สีเดียวกัน” “ใชดวยกัน” ควรใหเด็กไดพิจารณาในการแยกหมู รวม
หมูหรือจัดหมู จากรูปราง จากจํานวน จากสี จากขนาด
1.1 การจัดหมู เด็กจะรวมกันจัดสิ่งของรวมกันเปนหมู จากการเรียกชื่อ
สิ่งของ เชน รองเทา ถุงเทาหรือหมวกเลือกสิ่งที่เหมือนกันวางรวมกัน
1.2 การรวมหมู ครูควรใหเด็กสังเกตของชื่อเปนกลุมใหญและเขาใจถึงจํานวนสิ่งของแตละจํานวน เชน ของกองใหญมี 5 ของกองเล็กมี 3 และอีกกองมี 2 กอง กอง 3 และกอง 2 รวมกันแลวจะเปนกองใหญมี 5 เทาของกองใหญ
1.3 การแยกหมู ดวยการใหเด็กเลนนับสิ่งของ เด็กจะเรียนรูถึงความสัมพันธระหวางเลขกับจํานวนสิ่งของ เด็กจะไดเรียนรูดวยตนเอง เชน 4 มากกวา3 อยู 1 , 4 มากกวา 2 อยู 2 และ 1 นอยกวา 4 อยู 3 เปนตน
กิจกรรมเสนอแนะ
1. การนับสิ่งของนับภาพเพื่อรูความหมายของจํานวน
2. รองเพลง ตบมือ เคาะจังหวะพรอมกับนับจํานวนที่เคาะ แสดง
ทาทางเพื่อประกอบความหมายของจํานวนตามเนื้อเพลงที่รอง
3. ฝกใหใชตัวเลขแทนจํานวนสิ่งของ
– ใหเห็นภาพที่มีตัวเลขกํากับอยู
– จับคูบัตรตัวเลขกับภาพหรือของจริง
– โยงภาพกับตัวเลข
– เลือกตัวเลขใหตรงกับภาพ
4. การเขียนตัวเลขตามจํานวนสิ่งของ
5. นําลูกคิดไปสวมหลักตามตัวเลข
6. เลนขายของ
7. หัดนับเพิ่ม นับลด หรือเอาออก โดยใชของจริงเศษวัสดุ เชน จุก
ขวด กระดุม ฯลฯ
8. ใชแผนปานสําลีแสดงเรื่องราวของโจทยและหาคําตอบ
9. การเขียนเลขเติมในชองวางตามลําดับฯลฯ
วันอาทิตย์ที่ 7 ธันวาคม พ.ศ. 2557
ทักษะพื้นฐานทางคณิตศาสตร
1. ทักษะการสังเกต (observation) หมายถึง การใชประสาทสัมผัสอยางใดอยางหนึ่งหรือหลายอยางรวมกัน ไดแก ตา หู จมูกลิ้น และผิวกาย2. ทักษะการจําแนกประเภท (classifying) ความสามารถในการแบงประเภทสิ่งของโดยหาเกณฑหรือสรางเกณฑในการแบงขึ้นสําหรับเด็กปฐมวัยในการแบงประเภทมีอยู 2 อยาง คือ ความ
เหมือนและความแตกตาง
3. การเปรียบเทียบ (comparing) สิ่งที่สําคัญในการเปรียบเทียบคือ เด็กจะตองมีความเขาใจเกี่ยวกับลักษณะเฉพาะของสิ่งนั้นและรูจักคําศัพทที่ตองใช เชน ยาวกวา สั้นกวา เตี้ยกวา สูงกวา ใหญ
กวา เบากวา เปนตน
4. การจัดลําดับ (ordering) เปนทักษะการเปรียบเทียบชั้นสูงเปนการเปดโอกาสใหเด็กไดพัฒนาความคิดรวบยอดเกี่ยวกับการจัดลําดับสิ่งของ ตามลักษณะตางๆ เชน ขนาด ความยาว สี และผิว เปนตน
5. การวัด (Measurement) ความสามารถในการวัดของเด็ก จะพัฒนาจากประสบการณในการจัดหมวดหมู การเปรียบเทียบและการจัดลําดับในขณะที่เด็กเปรียบเทียบน้ําหนักของสิ่งของ หาวาสิ่งใดยาวที่สุด จะเปนเวลาที่เด็กใชมโนทัศนในการวัด การวัดจะชวยใหเด็กเขาใจเกี่ยวกับความยาว ระยะทาง ตําแหนง ทิศทาง รวมทั้งการคาดคะเน และการกะประมาณ การวัดสําหรับเด็กปฐมวัย ไดแก อุณหภูมิ เวลา ระยะทางความยาว น้ําหนัก ปริมาณ
6. การนับ (Counting) เด็กปฐมวัยชอบการนับแบบทองจําโดยไมเขาใจความหมาย เมื่ออายุ 7 หรือ 8 ขวบเด็กสามารถเขาใจอยางถองแท การนับแบบทองจําจะไมมีความหมาย นอกจากจะเชื่อมโยงจุดประสงคบางอยาง เชน นับจํานวนเด็กที่มาโรงเรียน เปนตน
7. รูปทรงและขนาด (Shape and Size) เด็กสวนใหญจะมีความรูเกี่ยวกับรูปทรงและขนาดกอนจะเขาโรงเรียน เราจะไดยินเด็กพูดถึงสิ่งตางๆ ที่เกี่ยวของกับรูปทรงและขนาดอยูเสมอเมื่ออายุประมาณ 5 ป เด็กจะรูจักรูปสี่เหลี่ยม วงกลม และสามเหลี่ยม
ขอบขายฐานคณิต
หลักสูตรกอนประถมศึกษา พุทธศักราช 2540
• การจัดการศึกษาสําหรับเด็กปฐมวัยอายุ 3-6 ป เปนการจัดในลักษณะการอบรมเลี้ยงดูและการให
การศึกษาแกเด็กทุกดาน ตามวัยและตามความสามารถของแตละบุคคล เพื่อเปนฐานในการ
ดํารงชีวิตและการอยูในสังคมไดอยางมีความสุข
หลักสูตรการศึกษาปฐมวัย พุทธศักราช 2546• สําหรับเด็กอายุ 3-5 ป เปนการจัดการศึกษาเด็กจะไดพัฒนาทั้งดานรางกาย อารมณ จิตใจ
สังคมและสติปญญา ตามวัยและความสามารถของแตละบุคคล
ขอบขายคณิตศาสตรในระดับปฐมวัย
• จากการศึกษาแนวการจัดประสบการณระดับกอนประถมศึกษา ชั้นเด็กเล็ก สํานักงานคณะกรรมการ
ประถมศึกษาแหงชาติ กระทรวงศึกษาธิการ (2534,หนา 2,8) พบวา ในการจัดกิจกรรมและประสบการณ
ตางๆ ใหแกเด็ก มีจุดประสงคเพื่อสงเสริมพัฒนาการทั้ง 4 ดาน
พัฒนาการดานคณิตศาสตร
1. สิ่งตางๆ รอบตัวเราสามารถแบงเปนประเภท ชนิด ตามขนาด สี รูปราง
2. สามารถนับสิ่งตางๆ วามีจํานวนเทาใด
3. เปรียบเทียบสิ่งของตางๆ ตามขนาด จํานวน น้ําหนัก
4. สามารถจัดเรียงลําดับสิ่งของตามขนาด ตําแหนง ลักษณะที่ตั้งไว
5. สามารถเพิ่มหรือลดสิ่งของออกจากจํานวนสิ่งของที่เรามีอยู
6. ใชตัวเลขในชีวิตประจําวัน เชน เงิน โทรศัพท บานเลขที่ ฯลฯ
7. สิ่งที่ชวยเราในการวัดมีหลายอยาง เชน ไมบรรทัด ถวยตวง ซอนตวง ฯลฯ
บางอยาง อาจใชการคาดคะเนหรือกะประมาณได
8. ใชเงินซื้อของ เชน อาหาร เสื้อผา ฯลฯ
9. ใช "เวลา" พูดถึงสิ่งตางๆ ที่เกิดขึ้น เชน เมื่อวานนี้ พรุงนี้ ตอนเชา ตอนบาย ตอนเย็น
ชั้นอนุบาลปที่ 1
1. การสังเกต จําแนก และเปรียบเทียบสิ่งตางๆ ตามสี รูปราง รูปทรง ขนาด
ปริมาณ น้ําหนัก ความยาว ความสูงได
2. จัดประสบการณและหมวดหมูสิ่งตางๆ ตามขนาด ความยาว ความสูง และ
จําแนกได
3. เรียงลําดับสิ่งตางๆ ตามขนาด ความยาว ความสูง ปริมาณ ระยะทางและ
การจัดลําดับเวลาและเหตูการณได
4. รูตําแหนงสิ่งตางๆ (ขางบน-ขางลาง) (ขางหนา-ขางหลัง)
5. ชั่ง ตวง วัด และคาดคะเนได
6. นับปากเปลา 1- 20 ได
7. รูคาจํานวน 1-5
ชั้นอนุบาลปที่ 2
1. การสังเกต จําแนก และเปรียบเทียบสิ่งตางๆ ตามสี รูปราง รูปทรง ขนาด ปริมาณ น้ําหนัก
ปริมาตร ความยาว ความสูง ระยะทางได
2. จัดประเภทและหมวดหมูสิ่งตางๆ ตามรูปราง รูปทรง ขนาด ความยาว ความสูง และจํานวนได
3. เรียงลําดับสิ่งตางๆ ตามขนาด ความยาว ความสูง ปริมาณ ระยะทาง ปริมาตรและการจัดลําดับ
เวลาและเหตุการณได
4. รูตําแหนงสิ่งตางๆ (ขางใน-ขางนอก) (ขางบน-ขางลาง) (ขางหนา-ขางหลัง-ระหวาง)
5. ชั่ง ตวง วัด และคาดคะเนได
6.นับปากเปลา 1-30
7. รูคาจํานวน 1-10
8. รูลําดับที่ 1-10
9. การเพิ่ม-ลด ภายในจํานวน 1-10
10. ความหมายของคําวา มี และ ไมมี
หลักการสอนคณิตศาสตรสําหรับเด็กปฐมวัย
1. สอนใหสอดคลองกับชีวิตประจําวัน
2. เปดโอกาสไดเด็กไดรับประสบการณที่ทําใหเด็กพบคําตอบดวยตนเอง
3. มีเปาหมายและมีการวางแผนอยางดี
4. เอาใจใสในเรื่องการเรียนรูและลําดับขั้นของพัฒนาความคิดรวบยอดของ
เด็ก
5. ใชวิธีการจดบันทึกพฤติกรรมหรือระเบียนพฤติกรรม เพื่อใชในการ
วางแผนและจัดกิจกรรม
6. ใชประโยชนจากประสบการณเดิมของเด็ก เพื่อสอนประสบการณใหมใน
สถานการณใหม่
7. รูจักใชสถานการณขณะนั้นใหเปนประโยชน
8. ใชวิธีการสอนแทรกกับชีวิตจริงของเด็ก เพื่อสอนความคิดรอบยอดที่ยากๆ
9. ใชวิธีการใหเด็กมีสวนรวมหรือปฏิบัติจริงเกี่ยวกับตัวเลข
10. วางแผนสงเสริมใหเด็กเรียนรูทั้งที่โรงเรียนและที่บานอยางตอเนื่อง
11. บันทึกปญหาการเรียนรูของเด็กอยางสม่ําเสมอเพื่อแกไขปรับปรุง
12. คาบหนึ่งควรสอนความคิดรวบยอดเดียว
14. ครูควรสอนสัญลักษณหรือเครื่องหมายเมื่อเด็กเขาใจสิ่งเหลานั้นแลว
15. ตองมีการเตรียมความพรอมในการเรียนคณิตศาสตร์
แนวคิดของ ดีนส (ZP.Dienes)
Dienes เชื่อวาการสอนคณิตศาสตรควรมีขั้นตอน ดังนี้1. play Stage คือขั้นตอนแรกใหนักเรียนมีอิสระที่จะทําอะไรก็ได
2. Structured Stage เปนขั้นที่ 2 ที่ครูเตรียมการสอนมาแลว
3. Practice Stage เปนขั้นสุดทายคือเด็กไดฝกฝน หรือฝกหัดความชํานาญ
ในกิจกรรมที่เรียนมา
ความเชื่อของดีนส ในเรื่องการใชวิธีการและสื่อการเรียน
1. การสอนเรื่องหนึ่งอาจจะทําไดหลายๆ วิธีการหลายๆ แบบ
2. สื่อการเรียนหลายๆอยางที่ใชก็เพื่อใชสรางแนวคิดหรือความเขาใจใน
เรื่องเดียวกัน
3. สื่อการเรียนแตละอยางที่ใช ควรใชตามลําดับ
4. สื่อการเรียนแตละอยาง ควรเปนสื่อประเภทตั้งแตของ 3 มิติไปสู 2 มิติ
และมิติเดียวตามลําดับ
แนวคิดของนักจิตวิทยาการเรียนรูกลุมทฤษฎีพฤติกรรมนิยม
- ธอรนไดร การเรียนรูบางสิ่งบางอยางอาจเกิดขึ้นไดจากการลองผิดลองถูกและเมื่อพบทางที่ถูกตองแลว เด็กจะนําเอาวิธีนั้นไปใชในการแกปญหาประเภทเดียวกันอีกครั้งหนึ่งได
- พัฟลอฟและสกินเนอร การเรียนการสอนจะตองมีอุปกรณครั้งการใชวิธีหลายๆวิธีในการสอนเพราะเด็กแตละคนจะเขาใจสิ่งตางๆดวยวิธีที่ตางกันจะตองมีการชมเชยและใหกําลังใจ หากพฤติกรรมไมดีควรตําหนิ บรรยากาศในการเรียนตองดี
กฎที่สงเสริมการเรียนรูคณิตศาสตร
1. กฎแหงความพรอม คือ เมื่อผูเรียนมีความพรอมที่จะเรียน
2.กฎแหงการฝกฝน คือ ถาผูเรียนไดปฏิบัติฝกหัดและฝกซอมบอย ๆ
3.กฎของผลตอบสนอง คือ เมื่อผูเรียนไดรับผลตอบสนองอยางพึงพอใจ
การเสริมพลังในการเรียนการสอนคณิตศาสตร
เสริมพลัง คือ การกระทําอยางใดอยางหนึ่ง เพื่อใหเด็กแสดงพฤติกรรมที่พึง
ปารถนาออกมา โดยมีวิธีการเสริมพลัง ดังนี้
- ใชวาจาใหกําลังใจแสดงการยอมรับความคิดเห็น ยกยกชมเชยเมื่อเด็กทําถูก
- ทาทาง แสดงทาทางการยอมรับ เชน พยักหนา ยิ้ม เอียงหูฟง ตามความเหมาะสม
ทฤษฎีพัฒนาการทางสติปญญาของเพียเจต มีสาระสําคัญ
1. อายุเปนปจจัยสําคัญ โดยแบงออกเปนสี่ขั้น คือ
1.1 ขั้นรับรูจากประสาทสัมผัสและการเคลื่อนไหว
1.2 ขั้นกอนที่จะคิดหาเหตุผลเปน หรือวัย ชางพูด
1.3 ขั้นใชความคิดดวยรูปธรรม หรือ ขั้นวัยชางทํา
1.4 ขั้นที่ใชความคิดดวยนามธรรม ขั้นวัยชางคิด
2.การกระทําเปนพื้นฐานใหเกิดความคิด
3. การสอนใหเกิดความเขาใจจะพบความสําเร็จประกอบดวย
3.1 เด็กจะตองมีวุฒิภาวะ
3.2 จัดกิจกรรมที่ไดลงมือกระทํา
3.3 จัดกิจกรรมกลุมสงเสริมทักษะดานภาษา
3.4 ใหเด็กไดรับความรูใหม
4.การสอนคณิตศาสตร ควรสอนตามลักษณะขั้นบันไดเวียน คือ
การสอนทบทวนเรื่องเดิม และคอยๆขยายไปสูความรูใหม่
ทฤษฎีพัฒนาการดานสติปญญาของ บรูเนอร
บรูเนอร เสนอทฤษฎีพัฒนาการดานสติปญญา 3 ขั้น คือ1. Enactive Stage เปนขั้นที่เด็กเรียนรูจากการ
กระทํามากที่สุด เปรียบขั้นนี้ไดกับขั้นแรกของเพียเจต
คือ ขั้นการรับรูทางประสาทสัมผัสและการเคลื่อนไหว
2. Lconic Stage เปนขั้นอาศัยประสาทสัมผัสตางๆ เชน การ
มองเห็นสิ่งใดก็เปนประสบการณสวนหนึ่ง แลวนําประสบการณทีได
จากการใชประสาทสัมผัสมาสรางเปนภาพขึ้นในใจแทน
3 Abstract Stage เปนขั้นการถายทอดการ
เรียนรูหรือประสบการณดวยการใชสัญลักษณหรือ
ภาษา ซึ่งเปนขั้นสูงสุดของพัฒนาการทางดาน
สติปญญาของมนุษย ซึ่งเด็กสามารถหาเหตุผลและเขาใจสิ่งที่เปนนามธรรม
ได สามารถแกปญหาไดเปนอยางดี บรูเนอรมีความเห็นวา ความรูความ
เขาใจในเรื่องสัญลักษณและภาษามีพัฒนาการขึ้นมาพรอมๆกัน
บรูเนอรไดนําทฤษฎีพัฒนาการทางสติปญญามาจัดลําดับ
ของการสอนคณิตศาสตร วาควรมี 3 ขั้น ดังนี้
11.Enactive ขั้นเริ่มตน การสอนโดยใชของ 3 มิติ
พวกวัตถุของจริง
2. Lconi ขั้นใชจินตนาการประกอบ คือ ของ 2 มิติ
เชน ภาพตางๆ กราฟ แผนที่ เปนตน เพื่อใชในการ
ประกอบการสอน
3. Astract Stage ขั้นใชจินตนาการลวนๆ คือ ใชสัญญาลักษณ ตัวเลข
เครื่องหมายตางๆ เปนขั้นสุดทายในการสอนคณิตศาสตร์
ทฤษฎีพัฒนาการทางสติปญญาของบรูเนอร มีสาระสําคัญที่สอดคลองกับการเรียนการสอนคณิตศาสตร ดังนี้
- ปรัชญาพื้นฐานในการเรียนวิชาคณิตศาสตร คือ การใหเด็กไดคนพบความรูไดดวยตนเอง นั่นคือ อยาปอนความรูให แตตองใหเด็กคนหาความรู รูจักการแกปญหาโดยใชกระบวนการทางวิทยาศาสตร เด็กสามารถเรียนรูจากเพื่อนรวมงานได
- หนาที่ของครู คือหลีกเลี่ยงการสอนแบบบรรยายใหมากที่สุด
- วางแผนการสอนดี ยอมกอใหเกิดการเรียนรูที่ดี
- การวัดผลสัมพันธกับการสอน
- เด็กเรียนรูกับเพื่อนไดดี ควรทํางานเปนกลุม
ทฤษฎีการสอนคณิตศาสตร์สำหรับเด็กปฐมวัย
การสอนเปนการจัดประสบการณ เพื่อใหเด็กไดเรียนรูอยางคุมคาและบรรลุวัตถุประสงคที่กําหนดไว ซึ่งในการพัฒนาการเรียนการสอนคณิตศาสตร นักการศึกษาไดพยายามที่จะศึกษาทฤษฎีทางจิตวิทยาที่จะนํามาใชใหเกิดการเรียนการสอนที่มีประสิทธิภาพมากที่สุด ทั้งนี้เนื่องจากครูจะตองมีความเขาใจในตัวเด็กเขาใจระบบพัฒนาการดานสติปญญาของเด็กเพื่อนํามาใชใหเหมาะสมกับวัยและความสามารถของเด็ก การจัดกิจกรรมตางๆ จึงจะไดผล
1. ขั้นการรับรูทางประสาทสัมผัสและการเคลื่อนไหว
ไดแก เด็กแรกเกิดถึงอายุประมาณถึง 2 ป เด็กวัยนี้เปน
พฤติกรรมเกี่ยวกับการเคลื่อนเปนสวนใหญ เชน การ
ไขวควา การมอง การจับ การดูด เปนการเคลื่อนไหวอยางอัตโนมัติ แม
แกปญหาได เชน เมื่อของเลนกลิ้งไปใตโตะ เด็กสามารถเอื้อมมือไปหยิบ
เด็กจะลองผิดลองถูกโดยไมสามารถอธิบายไดการพัฒนาทางดานความคิดไป
ลักษณะสําคัญ
- การเรียนรูของเด็กตองไดรับประสบการณตรงและโดยทันที
- ตอมาเริ่มรูจักจําไดในสิ่งที่มองเห็น
- ดาน ภาษา เริ่มพูดเปนคํา เริ่มใชทาทางชวย เชน นั่ง นอน ยืน ฉี่ ยิ้มหัวเราะ เปนตน
- ยังคิดและจินตนาการไมเปน
- ไมสามารถบอกเวลาได รูจักแตเดียวนี้ ขณะนี
ทฤษฎีพัฒนาการดานสติปญญาของเพียเจต(ตอ)
2. ขั้นกอนที่จะคิดหาเหตุผลเปน
เริ่มอายุ 2-6 ป เทียบกับชั้นอนุบาลแบงออกเปน 2 ระยะ
2.1 ขั้นกอนเขาใจความคิดรวบยอด อายุ 2-4 ป
ความคิดของเด็กวัยนี้ขึ้นอยูกับการรับรูเปนสวนใหญ ยังไม
สามารถที่จะใชเหตุผลและมีความคิดรวบยอดไดอยางลึกซึ้ง เชน ไมสามารถ
แยกประเภทรูปสามเหลี่ยม สี่เหลี่ยมออกจากกันได
มีลักษณะเดนอยูที่ดานภาษา เปนวัยที่เรียนรูภาษาไดดี สามารถเรียนรูเรื่องสัญลักษณไดบาง
2.2 ขั้นสามารถเรียนรูดวยญาณ
อายุ 4-7 ป ญาณ คือการคิดนําไปสูการ
แกปญหา เปนการเดา หรือคาดคะเนในการ
แกปญหาเฉพาะหนาที่ไมมี การเตรียมตัวกอน
ลวงหนา เด็กในวัยนี้มีความสนใจอยากรูอยากเห็น
3.ขั้นการใชความคิดดวยรูปธรรม
เด็กอายุ 7- 11 ป เทียบไดกับชั้น ป. 1 – 6 เด็ก
วัยนี้เริ่มมีความคิดที่มีเหตุผล แตเปนความคิดที่ขึ้นอยูกับเหตุการณเฉพาะหนาและสิ่งที่เปนรูปธรรม วัยนี้เด็กสามารถมองเห็นลักษณะของวัตถุสิ่งของไดถึง 2 มิติใน
เวลาเดียวกัน คือ สามารถคิดถึงขนาดและปริมาณไปพรอมๆ กันได้
ลักษณะสําคัญ
- เด็กสามารถคิดหาเหตุผลจากวัตถุสิ่งของที่เปนรูปธรรม
- สามารถแบงประเภทสิ่งของได จัดเรียงลําดับได สรางเกณฑในการแบงไดโดยตองไดของจริงที่มีตัวตน
- สามารถมองทีละหลายมิติได คิดและเห็นคุณสมบัติของวัตถุสิ่งของ
ความคิดรวบยอดพื้นฐานทางคณิตศาสตร
ความคิดรวบยอดทางดานตัวเลข เชน การเปรียบเทียบใน
เรื่องของขนาด รูปราง ผิว อุณหภูมิ และคาของเงิน แต
จะเปนการเปรียบเทียบแบบงายๆ เพราะเด็กจะใชคําศัพทจากสิ่งแวดลอมที่
ตนเองไดรับจากทางบานนอกจากนั้นการวางแผนที่ดีของครูที่โรงเรียนเปนสิ่ง
ที่สําคัญและทาทายอยางยิ่งในการสรางพนฐานการพัฒนาการทางดานคําศัพท
ที่เกี่ยวกับการเปรียบเทียบ ดังนั้นจะกลาวถึงรายการคําศัพททางดาน
คณิตศาสตรไว เพื่อใหครูปฐมวัยไดไดเลือกใชในการจัดกิจกรรมใหเหมาะสม
หรือจัดหาอุปกรณที่เสริมสรางความเขาใจเกี่ยวกับคําศัพทเหลานี้
คําศัพทเกี่ยวกับคณิตศาสตร
ตัวเลข เชน ทั้หมด จํานวน นอย มาก นอยกวา มากกวา กิโล ไมมี เปนตนขนาด เชน ใหญ คลาย สองเทา ใหญที่สุด สูง เตี้ย เปนตน
รูปราง เชน สามเหลี่ยม วงกลม สี่เหลี่ยม ยาว โคง สั้นกวา แถว เปนตน
ที่ตั้ง เชน บน ต่ํา ขวา สูงที่สุด ยอด กอน ระยะทาง ระหวาง เปน
ตน
คาของเงิน เชน สลึง หาสิบสตางค หนึ่งบาท หาบาท สิบบาท ยี่สิบบาท เปนตน
ความเร็ว เชน เร็ว ชา เดิน วิ่ง คลาน เปนตน
อุณหภูมิ เย็น รอน อุน เดือด ชุมชื้น
ความหมายของคณิตศาสตรสําหรับเด็กปฐมวัย
ลีพเพอรและคณะคณิตศาสตรสําหรับเด็กปฐมวัยเปนที่ตองอาศัยสถานการณ
ในชีวิตประจําวันของเด็กเปนพื้นฐานในการพัฒนาความรู
และทักษะทางคณิตศาสตร อีกทั้งยังตองอาศัยกิจกรรมคณิตศาสตรสําหรับ
เด็กโดยเฉพาะ โดยอาศัยการวางแผนและการเตรียมการอยางดีจากครูเพื่อ
เปดโอกาสใหเด็กไดลงมือปฏิบัติจริง และเรียนรูดวยตนเองอยางมีความสุข
เทยเลอร
คณิตศาสตรเปนสวนหนึ่งของชีวิตประจําวันที่สําคัญ
ครูปฐมวัยควรเปดโอกาสใหเด็กไดใชความคิด
การคนควาแกปญหา และการเรียนรูดวยตนเอง
โดยจัดประสบการณใหเหมาะสมกับวัย ซึ่งการเรียนรูทางดานคณิตศาสตร
และความสามารถในการแกปญหาทางคณิตศาสตรจะขึ้นอยูกับระดับ
พัฒนาการของเด็กเปนสําคัญ
นิตยา ประพฤกิจ (2535.หนา 5) คณิตศาสตรสําหรับ
เด็กปฐมวัยเปนเรื่องที่นอกจากจะตองอาศัย
สถานการณในชีวิตประจําวันของเด็กในการ
สงเสริมความเขาใจเกี่ยวกับคณิตศาสตรแลวยังอาศัยการจัด
กิจกรรมที่มีการวางแผน และเตรียมการอยางดีจากครู เพื่อใหโอกาสแกเด็ก
ไดคนควา แกปญหา ไดเรียนรูและพัฒนามโนภาพเกี่ยวกับคณิตศาสตร มี
ทักษะความรู ที่เปนพื้นฐานสําหรับการศึกษา และใชในชีวิตประจําวัน
ความสําคัญของคณิตศาสตรสําหรับเด็กปฐมวัย
คณิตศาสตรมีความเกี่ยวของและสัมพันธกับชีวิตประจําวัน
ของเด็กเปนอยางมาก เชน การดูนาฬิกา การดูวันจาก
ปฏิทิน การไปตลาดเพื่อซื้อของ การนับเงินการทอนเงิน
ตลอดจนการสังเกต จําแนก เปรียบเทียบสิ่งตางๆ สิ่งเหลานี้ลวนเกี่ยวกับ
คณิตศาสตรทั้งสิ้น ควรปลูกฝงคณิตศาสตรใหกับเด็กตั้งแตแรกเริ่ม
ความสําคัญของคณิตศาสตรสําหรับเด็กปฐมวัย(ตอ)
วรรณี โสมประยูร
เด็กเรียนคณิตศาสตรเกงจะประสบความสําเร็จ
ในการดํารงชีวิตหลายประการ ดังนี้
- ทําใหเปนคนคิดเปน ทําเปน แกปญหาเปน โดยเฉพาะอาศัยหลักการทางคณิตศาสตรเปนแนวทางพื้นฐานที่สําคัญ
- นําไปใชแกปญหาตาง ๆ ในการดํารงชีวิตไดดี และมีประสิทธิภาพ
- เปนเครื่องมือที่สําคัญในการสํารวจขอมูล วางแผนงานและประเมินผลการดําเนินงาน
- เรียนวิชาตางๆ ไดดี เพราะคณิตศาสตรเปนเครื่องมือในการเรียนรูของวิชาตางๆโดยเฉพาะวิชาวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
จุดมุงหมายของการสอนคณิตศาสตร
1. เพื่อใหเด็กมีความเขาใจพื้นฐานเกี่ยวกับคณิตศาสตร เชน การรูจักคําศัพท
2. เพื่อพัฒนามโนภาพเกี่ยวกับคณิตศาสตร เชน การบวก ลบ
3.เพื่อใหเด็กรูจักและใชกระบวนการหาคําตอบ
4. เพื่อใหเด็กฝกฝนคณิตศาสตรพื้นฐาน
5.เพื่อใหเด็กมีความรูความเขาใจ
6. เพื่อสงเสริมใหเด็กคนควาหาคําตอบดวยตนเอง
การจัดการเรียนรู้ทางคณิตศาสตร์สำหรับเด็กควรเน้นการให้เด็กได้มีโอกาสจัดกระทำ กับวัตถุประสงค์ต่าง ๆ เพราะเด็กในวัยนี้เรียนรู้โดยอาศัยประสาทสัมผัสรับรู้และการเคลื่อนไหว เพื่อส่งเสริมพัฒนาการทางด้านสติปัญญา การจัดการเรียนรู้เน้นให้เด็กได้พัฒนาประสาทสัมผัสให้มากที่สุด และกระตุ้นให้เด็กได้คิดและมีโอกาสจัดกระทำ หรือลงมือปฏิบัติกิจกรรมต่าง ๆ รวมทั้งเปิดโอกาสให้เด็กได้สัมผัสแตะต้อง ได้เห็นสิ่งต่าง ๆ หรือเรียนรู้สิ่งต่าง ๆ โดยผ่านประสาทสัมผัสแตะต้อง ได้เห็นสิ่งใหม่ ๆ ซึ่งวิธีการดังกล่าวจะช่วยให้เด็กเกิดการเรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ รอบตัว
คณิตศาสตร์สำหรับเด็ก
การจัดการเรียนรู้ทางคณิตศาสตร์สำหรับเด็กปฐมวัยหมายถึง การจัดสภาพการณ์ในชีวิตประจำวันของเด็กเป็นฐานการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ซึ่งครูต้องวางแผนการจัดการเรียนรู้เป็นอย่างดี ประกอบด้วยกิจกรรมที่เปิดโอกาสให้เด็กค้นคว้า แก้ปัญหา พัฒนาทักษะพื้นฐานทางคณิตศาสตร์และความคิดรวบยอด ที่เหมาะสมกับระดับพัฒนาการ เด็กแต่ละวัยจะมีความสามารถเฉพาะ เรียนรู้ด้วยการปฏิบัติจริง บรรยากาศการเรียนต้องไม่เคร่งเครียดเด็กรู้สึกสบายๆในขณะเรียน เห็นความสัมพันธ์ของคณิตศาสตร์ในธรรมชาติ บ้าน โรงเรียน กิจกรรมสอดคล้องกับชีวิตประจำวันและเชื่อมโยงกับประสบการณ์เดิมจะช่วยพัฒนาทักษะพื้นฐานทางคณิตศาสตร์และความคิดรวบยอดได้ดีขึ้น
- การจำแนกประเภท
- การจัดหมวดหมู่
- การเรียงลำดับ
- การเปรียบเทียบ
- รูปร่างรูปทรง
- พื้นที่
- การชั่งตวงวัด
- การนับ
- การรู้จักตัวเลข
- รู้จักความสัมพันธ์ระหว่างจำนวนกับตัวเลข
- เวลา
- การเพิ่มและลดจำนวน
ทักษะพื้นฐานทางคณิตศาสตร์ ประกอบด้วยความสามารถต่างๆดังนี้
จำนวนและตัวเลข เด็กปฐมวัยหากได้เรียนรู้จากการปฏิบัติโดยการใช้สื่อของจริงจะส่งผลให้มีทักษะการรับรู้เชิงจำนวนเนื่องจากธรรมชาติได้สร้างให้สมองของเด็กมีบริเวณที่เกี่ยวข้อง กับการรับรู้เชิงจำนวน ส่วนของสมองอย่างน้อย 3 บริเวณที่เกี่ยวข้องกับทักษะการรับรู้เชิงจำนวน สองส่วนแรกอยู่ที่สมองทั้งซีกซ้ายและขวาเกี่ยวข้องกับสัญลักษณ์ตัวเลข และบริเวณที่ทำหน้าที่เกี่ยวข้องกับการเปรียบเทียบจำนวน และบริเวณสุดท้ายอยู่ที่สมองซีกซ้ายคือ ทำหน้าที่เกี่ยวข้องกับการนับปากเปล่าและความจำเกี่ยวกับจำนวน การคำนวณ โดยสมองทั้ง 3 ส่วนจะทำงานร่วมกัน พัฒนาการด้านการรับรู้เชิงจำนวนและคณิตศาสตร์เริ่มตั้งแต่ปฐมวัยและพัฒนาเรื่อยไปจนถึงวัยผู้ใหญ่
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)